Search

คอลัมน์การเมือง - บุคคลแนวหน้า : 30 มิถุนายน 2563 - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

herb-dokterethaliani.blogspot.com

“บุคคลแนวหน้า” ใน “หนังสือพิมพ์แนวหน้า” ฉบับนี้ “ไม้หน้าสาม” ขอเริ่มต้นด้วยการแสดงความยินดีกับผู้บริหาร คณะครูบุคลากร นักเรียน และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านของ “โรงเรียนจระเข้หินสังฆกิจวิทยา” สังกัด สพม.31จังหวัดนครราชสีมา ที่ประสบความสำเร็จได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก "สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ"พระราชทานรางวัลชนะเลิศ “ประเภทวงเครื่องสายประสมปี่พาทย์” ในการประกวดดนตรีไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 18 ที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักสวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา...

nn คาดการณ์ไม่ผิดทว่าแทงหวยไม่เคยถูก คลายล็อก เฟส 5 “ผับ-บาร์-อาบอบนวด-คาราโอเกะ” ก็ได้รับไฟเขียวหมดสมสมญา “กรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร สมเป็นนครมหาธานี สวยงามหนักหนายามราตรี ช่างงามเหลือที่จะพรรณนา” มหานครที่สว่างไสวไม่เคยหลับใหลจะกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ “การ์ดต้องไม่ตก-New Normal” เพื่อปกป้องไม่ให้พิษภัย “โควิด–ไนน์ทีน” กลับมาทำร้ายเศรษฐกิจทั่วโลกอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมาสร้างความทุกข์ยากให้ประเทศไทย – เศรษฐกิจไทย และสร้างหายนะแก่มวลมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง องค์การอนามัยโลกออกมาแถลงเตือน “วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-ไนน์ทีน” ที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชากรโลกทั้งปัญหาสังคมและปากท้องอาจจะกลับมาระบาดรอบสอง หลังทางการจีนเผยแพร่งานวิจัยที่ค้นพบล่าสุดว่าเชื้อไวรัสโควิด-ไนน์ทีนมีวิวัฒนาการและสามารถอาศัยและแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสนี้ได้อีก ซึ่งครั้งนี้จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในข่าวหายนะที่จะเกิดแก่มวลมนุษยชาติก็มีข่าวดีใน “วงการสาธารณสุขไทย” ที่ก่อนหน้านี้เคยเตรียมเขมือบ 2 เด้ง โดยเด้งแรกคณะวิทยาศาสตร์และคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดีวิจัยค้นพบว่า สมุนไพรไทย “กระชายขาว” มีสารสองตัวคือ 1.Panduratin A และ 2.Pinostrobin ซึ่งสารทั้งสองตัวดังกล่าวนี้มีฤทธิ์ในการลดจำนวนเซลล์โคโรนา 2019 ที่ติดเชื้อ จาก 100% ลดลงเหลือ 0% ได้ ทั้งยังสามารถยับยั้งการแบ่งแยกตัวของเชื้อไวรัสนี้ได้อีกด้วยเป็นเด้งแรก ส่วนเด้งสอง “วัคซีน” ป้องกัน “โรคติดเชื้อโควิด-ไนน์ทีน”ใกล้สำเร็จผลิตได้ราวสิ้นปี 2563 ไม่เกินต้นปี 2564 สามารถผลิตออกมาใช้ได้แน่นอนจำนวนราว 10,000-15,000 โดส ทว่าล่าสุด “อาจารย์หมอ มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก” แถลงความร่วมมือกับ “คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และองค์การเภสัชกรรม” ศึกษานำร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรทดลองใช้รักษา “ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-ไนน์ทีน” ที่ “โรงพยาบาลสมุทรปราการและโรงพยาบาลบางละมุง” ซึ่งเป็นสถานกักกันตัวของรัฐสำหรับผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ โดยสามารถดำเนินการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษานี้ได้ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งระยะแรกจะเน้นเรื่องของความปลอดภัยและให้เกิดปัญหากับตับน้อยที่สุด สังคมไทยสมควรปรบมือรัวๆ ให้กรมแพทย์แผนไทยฯ หลังจาก จดๆ จ้องๆ “เงื้อง่าราคาแพงอยู่นาน” ล่าสุดเช่นกันว่าหมอมรุตบอกว่าได้งบมา 200 ล้านบาทให้พัฒนาวิจัยสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพในการรักษา “โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-ไนน์ทีน”ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล อย่าถือทิฐิทะนงตนอย่าเป็น “ลิงได้แก้ว หัวล้านได้หวี” จนถูกส่อเสียดทั้งถูก “ขุดด้วยปาก ถากด้วยตา” ด้วย “ไม้หน้าสาม”เชื่อหาก “บุคลากรวงการสาธารณสุขไทย”ยอมรับ “ตำรับยาสมุนไพรภูมิปัญญาบรรพบุรุษ” อาจมีเด้งสามเด้งสี่ติดตามมา สมุนไพรเหล่านี้คือมหาสมบัติที่ล้ำค่าของประเทศ ยังมี “ตำรับยาสมุนไพรจากภูมิปัญญาบรรพบุรุษ” อีกไม่น้อยที่ควรสังคายนานำมาทำให้เกิดประโยชน์ “ไม้หน้าสาม”ฉงนสงสัยจนเกิดคำถาม!?!? ทำไมก่อนหน้านี้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองสู้อุตส่าห์ประดิษฐ์นโยบายที่สวยหรู ตาม “แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพร ฉบับที่ 1” ที่สุดก็เป็นแค่ “วาทกรรมถ่มน้ำลายรดฟ้า” ไม่เยี่ยงนั้น “ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลเรือแป๊ะ” จึงกลับเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในการเข้าร่วม “ความตกลงการค้าเสรี CPTPP” ซึ่งจะทำให้ไทยต้องเป็นภาคีในอนุสัญญา UPOV1991 โชคดีที่เกิดเสียง “เคาะกะลาตีกะละมัง” ดังสนั่นราวขับไล่ “ราหู” ของนักการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านจนทำให้เรื่องนี้ถูกดึงออกมาเพื่อศึกษาผลกระทบเสียก่อน...

nn “ไม้หน้าสาม”ไม่ได้ปลุกผีนำเรื่องเก่ามาขยายความใหม่ให้เกิดความขัดแย้ง ทว่าตรรกะนี้น่าสนใจและพึงสมควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง “อาจารย์ยักษ์ หรือ วิวัฒน์ศัลยกำธร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และผู้ก่อตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ คนเคยร่วมชายคาตึกไทยคู่ฟ้ามากับ “เฮียกวง – สมคิด จาตรุศรีพิทักษ์” ออกมากระโดดขวางเต็มตัว เพราะเห็นว่าอนุสัญญานี้ ทำให้ประเทศไทยต้องแก้ไขกฎหมายภายใน ต้องขยายสิทธิผูกขาดให้แก่บรรษัทเมล็ดพันธุ์ ห้ามเกษตรกรเก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่อ ขยายสิทธิผูกขาดจากส่วนขยายพันธุ์ออกไปรวมถึงผลผลิตและผลิตภัณฑ์ ขยายระยะเวลาการผูกขาดจากที่กำหนดไว้ส่วนใหญ่ 12 ปี เป็น 20 ปี และ/รวมทั้งลดทอนกลไกการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ จนถูกขนานนามว่า “อนุสัญญาโจรสลัดชีวภาพ”...

nn การยอมรับ UPOV1991 จะทำให้ราคาเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรต้องจ่ายแพงขึ้น 3-5 เท่า และจะส่งผลกระทบต่อ “ความมั่นคงและอธิปไตยทางอาหาร” ของประเทศอย่างร้ายแรง เอื้ออำนวยประโยชน์แก่บรรษัทยักษ์ใหญ่ด้านเกษตรและอาหาร และบรรษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ ซึ่งมีอิทธิพลเหนือตลาดอยู่แล้วให้ผูกขาดมากยิ่งขึ้นไปอีก การเก็บรักษาพันธุ์พืชเพื่อปลูกต่อ และแลกเปลี่ยนระหว่างเกษตรกร คือวิถีชีวิต และฐานรากของการสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ หากไทยเข้าร่วม CPTPP ไม่เฉพาะแค่เมล็ดพันธุ์ธัญญาหารจะตกอยู่ในกำมือของทุนข้ามชาติแล้ว สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาบรรพบุรุษที่กระทรวงสาธารณสุขไม่เห็นคุณค่าอยู่แล้ว ก็สุ่มเสี่ยงตกเป็นเป้าหมายสำคัญในการปล้นสะดมระดับโลกครั้งนี้ด้วยไปในคราวเดียวกัน หรือทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ “รัฐบาล” เรียกว่า “วิถีชีวิตปกติใหม่ – New Normal” จะอย่างไรก็ตามมันกลับเป็นเรื่องตรงกันข้าม “หมอเณร - ชัยรัตน์ นนทชัย” หมอยาสมุนไพรปราชญ์ชาวบ้านแห่งห้วยกระเจา เมืองกาญจนบุรี ที่ไม่เห็นด้วยกับกรณีดังกล่าว และยังคงมุ่งมั่นอนุรักษ์ใช้พืชสมุนไพรไทยรักษาผู้คนอย่างห้าวหาญโดยมิย่อท้อกลางความแปรผันของกระแสโลกทุนนิยมที่ “สักแต่เออออและอวย” แต่ไม่เห็นคุณค่าจริงจังของตำรับยาสมุนไพรไทย ยังคงเสียเงินจำนวนมหาศาลแต่ละปีเพื่อนำเข้ายาจากฝรั่งทั้งที่ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่สามารถรักษาโรคร้ายจากยาฝรั่งได้ แต่กลับกินยาสมุนไพรหมอเณรหายจากโรคร้าย เป็นเบาหวานแผลเน่าไม่ต้องตัดขา เป็นต้น ทั้งที่ผลวิจัยการใช้สมุนไพรรักษาโรคร้ายต่างๆ ก็มีผลเป็นที่น่าพอใจและเป็นเอกอุวงการสาธารณสุขแก่มวลมนุษยชาติได้ อย่านิ่งเฉย

ไม้หน้าสาม




June 30, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/2BRMrPG

คอลัมน์การเมือง - บุคคลแนวหน้า : 30 มิถุนายน 2563 - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://ift.tt/2MI7832


Bagikan Berita Ini

0 Response to "คอลัมน์การเมือง - บุคคลแนวหน้า : 30 มิถุนายน 2563 - หนังสือพิมพ์แนวหน้า"

Post a Comment

Blogger news

Powered by Blogger.